Burnout & Work (งานและพลังใจ)

ยอมแพ้แต่ไม่แพ้: ศิลปะการวางมือในวันที่เหนื่อยล้าเพื่อชัยชนะที่แท้จริง | ที่พักใจ

สำหรับ Silent Carrier ที่แบกความสมบูรณ์แบบจนหลังแอ่น บทความนี้จะชวนคุณมาสำรวจว่าการยอมแพ้ในบางเรื่อง อาจเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหัวใจ ที่จะช่วยให้คุณได้พักใจอย่างแท้จริง

1 min read
ยอมแพ้แต่ไม่แพ้: ศิลปะการวางมือในวันที่เหนื่อยล้าเพื่อชัยชนะที่แท้จริง | ที่พักใจ

ในห้วงเวลาที่โลกหมุนเร็ว สังคมมักส่งเสียงกระตุ้นเตือนเราอยู่เสมอว่า "สู้ไม่ถอยนะ" "อย่าเพิ่งยอมแพ้" "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ถ้อยคำเหล่านี้เป็นเสมือนพลังงานชั้นดีที่ผลักดันให้เราก้าวเดินไปข้างหน้าไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากสักเพียงใด โดยเฉพาะกับคนที่มักจะถูกเรียกว่า "Silent Carrier" หรือผู้ที่แบกรับภาระมากมายไว้เงียบๆคนเดียว คนที่ภายในใจเต็มไปด้วยมาตรฐานที่สูงลิบลิ่ว ความคาดหวังจากทั้งตัวเองและคนรอบข้าง จนรู้สึกผิดบาปทุกครั้งที่ความคิดเรื่องการหยุดพักหรือคำว่า "ยอมแพ้" แวะเวียนเข้ามาในห้วงคำนึง เราเข้าใจความรู้สึกนั้นดีเลยจริงๆ ความรู้สึกผิดที่มาพร้อมกับความเหนื่อยล้าทางใจและกายมันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจได้ และบ่อยครั้งเราก็มักจะหลงลืมไปว่าการพยายามต่อไปทั้งๆที่แบกรับความกดดันจนหมดเรี่ยวแรงนั้น มันอาจจะกำลังทำร้ายและกัดกร่อนตัวเราเองอย่างช้าๆ มากกว่าที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง การฝืนทนต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ใช่ อาจนำไปสู่ภาวะ หมดไฟ หรือ Burnout ได้อย่างง่ายดาย เราอยากบอกคุณว่ามันเป็นเรื่องปกติมากที่จะรู้สึกเช่นนั้น และมันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย ที่สำคัญที่สุดคือ ล้มแล้วไม่ต้องรีบลุก ก็ได้ หากนั่นคือสิ่งที่หัวใจต้องการจริงๆ

แล้วรากเหง้าของความกลัวที่จะ ยอมแพ้ มาจากไหน? ทำไมเราถึงรู้สึกว่าการ กล้าที่จะยอมแพ้ เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญนัก? คำตอบนี้ฝังรากลึกอยู่ในค่านิยมของสังคมที่เราเติบโตมา สังคมที่มักจะยกย่องความสำเร็จ ความอุตสาหะ และการไม่ย่อท้อ ทำให้เราหลายคนผูกคุณค่าในตัวเองเข้ากับการเป็นคน "ไม่ยอมแพ้" หรือเป็นผู้พิชิต หากเรายอมแพ้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันมักจะถูกตีความว่าเราไม่เก่ง เราล้มเหลว หรือแม้กระทั่งว่าเราเป็นคนอ่อนแอ ภาพเหล่านั้นมันน่ากลัวเสียจนเราเลือกที่จะแบกรับความหนักอึ้งต่อไปเรื่อยๆ แม้จะรู้สึก เหนื่อยล้า จนแทบจะเดินไม่ไหวแล้วก็ตาม

ลองจินตนาการภาพ "แก้วน้ำที่ล้นปรี่" ดูสิ เราพยายามเติมน้ำแห่งความพยายาม ความคาดหวัง และความกดดันใส่เข้าไปในแก้วใบนี้อย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งๆที่น้ำในแก้วมันเอ่อล้นออกมานานแล้ว เราคิดว่าการเติมต่อไปเรื่อยๆคือนิยามของความพยายามที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่ในความเป็นจริง การที่เราไม่ยอมหยุดพัก ไม่ยอมเทน้ำที่ขุ่นมัวหรือน้ำที่ไม่ได้จำเป็นต้องใช้ออกไปบ้าง ไม่ยอมปล่อยให้แก้วได้ว่าง เพื่อให้เราได้พักใจ และเพื่อเปิดรับน้ำใสสะอาดเข้ามาเติมใหม่ สุดท้ายแก้วใบนั้นก็อาจจะร้าว หรือแตกออกได้ในที่สุด การฝืนตัวเองเช่นนี้ ทำให้เรายิ่งจมดิ่งลงไปในความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และจิตใจ จนบางครั้งเราก็สับสนว่าอะไรคือความปรารถนาที่แท้จริงของเรา และอะไรคือแค่ความคาดหวังจากโลกภายนอกที่ถูกปลูกฝังจนเราแบกรับมันไว้จนหลังแอ่น เราอาจจะกำลังวิ่งไล่ตามเป้าหมายที่ไม่ได้เหมาะกับเราอีกต่อไปแล้ว หรือกำลังพยายามพิสูจน์คุณค่าในตัวเองที่ไม่ต้องพิสูจน์กับใครเลยก็ได้ ความคิดแบบ Perfectionism และ Imposter Syndrome มักจะมาพร้อมกับความเชื่อว่าเราต้องทำให้ดีที่สุดเสมอ และไม่มีสิทธิ์ที่จะผิดพลาดหรือล้มเหลว สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนพันธนาการที่มองไม่เห็น รัดตัวเราไว้แน่นไม่ให้ได้หายใจ

แล้วเราจะ ยอมแพ้ อย่างไรให้สง่างาม และเปลี่ยนมันเป็น ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหัวใจ ได้อย่างไร? นี่คือเครื่องมือที่เราอยากชวนคุณให้ลองหยิบไปใช้ เพื่อให้ได้ พักใจ อย่างแท้จริง:

  1. สำรวจแก้วน้ำในใจของเรา: ลองหยุดพัก หันกลับมามองว่าแก้วน้ำในใจเราตอนนี้เป็นอย่างไร มันล้นปรี่จนแทบจะไม่มีที่ว่างเหลืออยู่เลยหรือเปล่า? ถ้าล้นแล้ว ให้เวลากับตัวเองได้เทน้ำที่เสีย ที่ไม่จำเป็นทิ้งไปบ้าง นั่นไม่ใช่การล้มเลิก แต่คือการสร้างพื้นที่ว่างให้สิ่งใหม่ๆ และดีกว่าได้เข้ามา ทำให้เราได้มีพลังงานในการเดินหน้าต่อไป

  2. แยกแยะความจริงกับความกลัวที่อยู่ข้างใน: ลองถามตัวเองอย่างจริงใจว่า "อะไรคือสิ่งที่กลัวจริงๆ ถ้าเรายอมแพ้เรื่องนี้?" บางครั้งความกลัวของเราเป็นแค่ภาพหลอนที่สร้างขึ้นมาเอง เป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหัวที่ไม่ได้มาจากความจริงภายนอก การ ยอมแพ้ ในเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ใช่ตัวตนของเรา อาจเปิดทางให้เราชนะในเรื่องที่ใหญ่กว่าและสำคัญกว่า ที่เป็นตัวเราจริงๆ ได้

  3. วางมีดลงอย่างตั้งใจ ไม่ใช่การหนีปัญหา: การยอมแพ้ที่แท้จริงไม่ใช่การหนีปัญหา หรือการละทิ้งความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง แต่มันคือการตัดสินใจอย่างมีสติว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นมันไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพใจและกายของเราอีกต่อไปแล้ว การ "วางมีดลง" จึงไม่ใช่การแพ้ แต่คือการเลือกที่จะไม่ทำร้ายตัวเองอีกต่อไป

  4. ให้ "คำอนุญาต" กับหัวใจของเรา: อนุญาตให้ตัวเองได้พักบ้าง ได้รู้สึกเหนื่อยบ้าง ได้ยอมรับว่า "ตอนนี้เรายังทำไม่ได้" หรือ "เรายังไม่พร้อม" โดยไม่ต้องรู้สึกผิด การพักคือการชาร์จพลังงาน การบำรุงรักษาหัวใจ ไม่ใช่ความอ่อนแอหรือการพ่ายแพ้

  5. นิยาม "ชัยชนะ" ของตัวเองใหม่: ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหัวใจอาจไม่ใช่การพิชิตทุกเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือการเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน แต่คือการรู้จักฟังเสียงความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง การรักและดูแลตัวเองอย่างจริงใจ การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรไปต่อ และเมื่อไหร่ควรหยุดเพื่อ พักใจ และฟื้นฟูตัวเอง

จำไว้เสมอว่า ศิลปะการยอมแพ้ ไม่ใช่การพ่ายแพ้ แต่มันคือ "ศิลปะของการเลือกสนามรบ" การเลือกที่จะปล่อยมือจากสิ่งที่ไม่ใช่ เพื่อให้มือของเราว่างพอที่จะคว้าจับสิ่งที่เป็นของเราจริงๆ การ ยอมแพ้ ในวันนี้ อาจเป็นการมอบ "คำอนุญาต" ให้หัวใจได้หายใจ ได้ฟื้นฟู และแข็งแรงกว่าเดิมเพื่อพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ ขอให้เราทุกคนได้พบกับ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหัวใจ ด้วยการกล้าที่จะวางมีดลงบ้างนะ. และขอให้รู้ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในการเดินทางครั้งนี้ เราจะเดินเป็นเพื่อนร่วมทางของคุณเสมอ

Share this article

แชร์บทความนี้

บทความที่เกี่ยวข้อง

เหนื่อยไหมที่ต้องเก่งตลอดเวลา? ทำไมเราถึงกลัว 'ความล้มเหลว' มากกว่า 'ความเจ็บปวด'

เหนื่อยไหมที่ต้องเก่งตลอดเวลา? ทำไมเราถึงกลัว 'ความล้มเหลว' มากกว่า 'ความเจ็บปวด'

มีใครเคยรู้สึกไหมว่าทุกเช้าคือการเริ่มต้นการวิ่งครั้งใหม่อีกครั้ง การวิ่งที่ไม่มีเส้นชัยที่ชัดเจนแต่มีแรงกดดันมหาศาลอยู่ข้างหลังว่า 'ถ้าเราหยุดวิ่งเมื่อไหร่ คนอื่นจะรู้ว่าเราไม่ได้เก่งจริง' เราอยากบอกว่าความรู้สึกเหนื่อยล้าจากการต้องสมบูรณ์แบบอยู่ตลอดเวลามันเป็นเรื่องจริงและสมเหตุสมผลมากๆ มันไม่ใช่ความอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย

อ่านต่อ
นอนแผ่หลา: กลยุทธ์พักใจเมื่อหมดไฟ ให้ปีกงอกใหม่ไม่รู้สึกผิด

นอนแผ่หลา: กลยุทธ์พักใจเมื่อหมดไฟ ให้ปีกงอกใหม่ไม่รู้สึกผิด

ในช่วงชีวิตที่เราเหนื่อยล้าจนไฟมอด หรือรู้สึกว่าชีวิตไม่เป็นไปตามแผนเลย สัญชาตญาณจะบอกให้เรา 'สู้ต่อ' แต่จะมีสักกี่ครั้งที่เรา 'อนุญาต' ให้ตัวเองล้มลงไปนอนแผ่หลากลางพื้นได้บ้าง บทความนี้ชวนมาทลายความเชื่อผิดๆ ที่ว่า 'การพักผ่อนคือความขี้เกียจ' และเปลี่ยนให้มันเป็น 'กลยุทธ์การฟื้นฟูระดับลึก' ที่สมองของเราต้องการ ให้คุณได้พักใจอย่างแท้จริง

อ่านต่อ