Burnout & Work (งานและพลังใจ)

เหนื่อยไหมที่ต้องเก่งตลอดเวลา? ทำไมเราถึงกลัว 'ความล้มเหลว' มากกว่า 'ความเจ็บปวด'

มีใครเคยรู้สึกไหมว่าทุกเช้าคือการเริ่มต้นการวิ่งครั้งใหม่อีกครั้ง การวิ่งที่ไม่มีเส้นชัยที่ชัดเจนแต่มีแรงกดดันมหาศาลอยู่ข้างหลังว่า 'ถ้าเราหยุดวิ่งเมื่อไหร่ คนอื่นจะรู้ว่าเราไม่ได้เก่งจริง' เราอยากบอกว่าความรู้สึกเหนื่อยล้าจากการต้องสมบูรณ์แบบอยู่ตลอดเวลามันเป็นเรื่องจริงและสมเหตุสมผลมากๆ มันไม่ใช่ความอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย

1 min read
เหนื่อยไหมที่ต้องเก่งตลอดเวลา? ทำไมเราถึงกลัว 'ความล้มเหลว' มากกว่า 'ความเจ็บปวด'

มีใครเคยรู้สึกไหมว่าทุกเช้าที่เราตื่นขึ้นมานั้นมันไม่ใช่แค่วันใหม่ แต่มันคือการเริ่มต้นการวิ่งครั้งใหม่อีกครั้ง การวิ่งที่ไม่มีเส้นชัยที่ชัดเจนแต่มีแรงกดดันมหาศาลอยู่ข้างหลังว่า 'ถ้าเราหยุดวิ่งเมื่อไหร่ คนอื่นจะรู้ว่าเราไม่ได้เก่งจริง' หรือแย่กว่านั้นคือเราเองนี่แหละที่จะเชื่อว่าเราไม่ดีพอ ความรู้สึกนี้มันหนักหนาสาหัสจนบางครั้งก็เจ็บปวดลึกๆ โดยที่เราไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงต้องแบกรับความรู้สึกแบบนี้ไว้ตลอดเวลา

เราอยากบอกว่าความรู้สึกเหนื่อยล้าจากการต้องสมบูรณ์แบบอยู่ตลอดเวลามันเป็นเรื่องจริงและสมเหตุสมผลมากๆ มันไม่ใช่ความอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย หากวันนี้คุณกำลังรู้สึกแบบนี้ เราอยากชวนให้เรามานั่งพักกันตรงนี้สักครู่ มาทำความเข้าใจว่าจริงๆแล้วอะไรกันแน่ที่ฉุดรั้งเราไว้ สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด คุณไม่ได้อยู่คนเดียวเลยในการต่อสู้กับความรู้สึกนี้ เราเข้าใจดีว่าการเป็น 'เดอะแบกผู้เงียบงัน' นั้นมันหนักหนาแค่ไหน การต้องทำเป็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีทั้งที่ข้างในอ่อนล้าเต็มที มันเป็นความเหนื่อยที่ยากจะอธิบาย แต่เราเห็นและเข้าใจคุณเสมอ

ความรู้สึกที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ มักถูกเรียกว่า Imposter Syndrome หรือภาวะที่เราเชื่อว่าตัวเองไม่เก่งจริง หรือความสำเร็จที่เราได้รับมานั้นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญหรือโชคช่วยเท่านั้น เราไม่สามารถยอมรับความสามารถของตัวเองได้ และมักจะกลัวว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมา 'จับได้' ว่าเราเป็นของปลอม ความกลัวนี้เองที่ผลักดันให้เราต้องพยายามอย่างหนัก ต้องสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง ต้องทำให้ดีที่สุดอยู่เสมอ ราวกับว่าคุณค่าในตัวเรานั้นขึ้นอยู่กับผลงานที่เราทำได้เท่านั้น การผูกโยงคุณค่าของตัวเองไว้กับผลงานมันอันตรายกว่าความล้มเหลวเสียอีก เราวิ่งหนีความผิดพลาดเพราะเชื่อว่ามันจะทำลายตัวตนของเรา ทั้งที่จริงๆแล้วความผิดพลาดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเส้นทาง

ลองคิดดูสิว่าบ้านสักหลังหนึ่งที่เราสร้างขึ้นมาโดยมี 'เสาเรือน' ที่เป็นฐานรองรับความมั่นคงของบ้านนั่นคือคุณค่าในตัวเราเอง หากเราไปผูกเสาเรือนนี้ไว้กับ 'หลังคา' ที่เป็นผลงานหรือความสำเร็จที่เราสร้างขึ้น เมื่อใดก็ตามที่หลังคาเกิดชำรุดเสียหายจากแดดลมฝน เสาเรือนที่เป็นรากฐานของบ้านก็พลอยสั่นคลอนไปด้วย ทั้งที่จริงๆแล้วเสาเรือนของเรานั้นยังคงแข็งแรงดีอยู่ไม่ได้มีรอยแตกร้าวเลย การที่เรากลัวความล้มเหลวมากเกินไปจนไม่กล้าพักไม่กล้าปล่อยวาง ก็เหมือนกับการที่เราไม่เคยสำรวจเสาเรือนของตัวเองเลย แต่กลับไปมัวแต่ซ่อมหลังคาที่เสียหายอยู่ตลอดเวลา การทำแบบนี้มันทำให้เรามองข้ามความแข็งแกร่งภายในของเราไปอย่างน่าเสียดาย และยังทำให้ 'แก้วน้ำ' แห่งความอดทนและพลังงานของเราพร่องลงเรื่อยๆ จนบางครั้งก็ถึงขั้นล้นทะลัก เราไม่เหลือพื้นที่สำหรับความสุขง่ายๆ หรือการพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย เพราะมัวแต่เติมเต็มในสิ่งที่ภายนอกคาดหวัง

แล้วเราจะเริ่มเปลี่ยนความกลัวที่ว่านี้ให้กลายเป็นข้อมูลที่เราสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างไร สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการ 'ยอมรับ' ว่าเรากำลังรู้สึกกลัวอยู่ ความกลัวไม่ใช่สิ่งผิดปกติ แต่มันคือสัญญาณที่บอกว่ามีบางอย่างกำลังต้องการความสนใจจากเรา เมื่อเรายอมรับความกลัวได้แล้ว ขั้นต่อไปคือการค่อยๆ 'คลายปม' ที่ผูกคุณค่าของเราไว้กับผลงาน เริ่มจากการถามตัวเองว่า 'ถ้าวันนี้เราไม่ได้เก่งที่สุด ไม่ได้สมบูรณ์แบบที่สุด เรายังมีคุณค่าอยู่ไหม' และคำตอบก็คือ 'แน่นอนว่ามี' คุณค่าของเราไม่ได้ลดลงไปไหนเพียงเพราะเราเหนื่อยล้าหรือทำอะไรผิดพลาด คุณคือคุณค่าในตัวเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน

การดูแลตัวเองในรูปแบบที่อ่อนโยนที่สุดคือการอนุญาตให้ตัวเองได้ 'พัก' อย่างแท้จริง การพักผ่อนไม่ใช่รางวัลของคนเก่งเท่านั้น แต่มันคือ 'หน้าที่' ของความเป็นมนุษย์ หน้าที่ที่ร่างกายและจิตใจของเราต้องการอย่างยิ่งยวด ลองนึกภาพ 'ต้นไม้' ที่ต้องเผชิญกับพายุฝนและแสงแดดที่แผดเผา ต้นไม้ยังต้องการช่วงเวลาที่ได้ฟื้นฟูตัวเอง ต้องการน้ำ ต้องการปุ๋ย ต้องการเวลาในการเยียวยาบาดแผลที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับเรา ร่างกายและจิตใจของเราก็ต้องการเวลาในการฟื้นฟูเช่นกัน เราทุกคนมีขีดจำกัด และการยอมรับขีดจำกัดนั้นคือการดูแลตัวเองที่ดีที่สุด

เริ่มต้นจากการ 'ล้ม' เล็กๆ น้อยๆ ลองทำอะไรที่ไม่สมบูรณ์แบบบ้าง ลองผิดพลาดดูบ้าง แล้วเราจะพบว่าโลกไม่ได้พังทลายอย่างที่เราคิด การที่เรากล้าที่จะพัก กล้าที่จะล้ม มันคือการที่เรากำลังบอกตัวเองว่า 'เรายอมรับในความเป็นมนุษย์ที่มีข้อบกพร่อง และเราคู่ควรกับการพักผ่อน' การเรียนรู้ที่จะแยกแยะระหว่าง 'เราคือใคร' กับ 'เราทำอะไร' จะช่วยให้เรามองเห็นคุณค่าภายในที่แท้จริง ไม่ว่าผลลัพธ์ภายนอกจะเป็นอย่างไร การพักผ่อนคือการลงทุนในสุขภาพใจของเรา ไม่ใช่การหลบหนีความรับผิดชอบ

วันนี้เราขอเป็น 'เพื่อนร่วมทาง' ที่มอบ 'คำอนุญาต' ให้คุณได้พักผ่อน ได้ปล่อยวาง และได้ยอมรับในตัวเองอย่างหมดใจว่าคุณนั้นดีพอแล้วเสมอ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรได้หรือไม่ก็ตาม การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบนี้แหละคือความเข้มแข็งที่แท้จริง จงกล้าที่จะเป็นตัวเราในเวอร์ชันที่เหนื่อยล้าและไม่สมบูรณ์แบบ เพราะในความไม่สมบูรณ์แบบนั้น เราจะพบความสงบที่แท้จริง

Share this article

แชร์บทความนี้

บทความที่เกี่ยวข้อง

ยอมแพ้แต่ไม่แพ้: ศิลปะการวางมือในวันที่เหนื่อยล้าเพื่อชัยชนะที่แท้จริง | ที่พักใจ

ยอมแพ้แต่ไม่แพ้: ศิลปะการวางมือในวันที่เหนื่อยล้าเพื่อชัยชนะที่แท้จริง | ที่พักใจ

สำหรับ Silent Carrier ที่แบกความสมบูรณ์แบบจนหลังแอ่น บทความนี้จะชวนคุณมาสำรวจว่าการยอมแพ้ในบางเรื่อง อาจเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหัวใจ ที่จะช่วยให้คุณได้พักใจอย่างแท้จริง

อ่านต่อ
นอนแผ่หลา: กลยุทธ์พักใจเมื่อหมดไฟ ให้ปีกงอกใหม่ไม่รู้สึกผิด

นอนแผ่หลา: กลยุทธ์พักใจเมื่อหมดไฟ ให้ปีกงอกใหม่ไม่รู้สึกผิด

ในช่วงชีวิตที่เราเหนื่อยล้าจนไฟมอด หรือรู้สึกว่าชีวิตไม่เป็นไปตามแผนเลย สัญชาตญาณจะบอกให้เรา 'สู้ต่อ' แต่จะมีสักกี่ครั้งที่เรา 'อนุญาต' ให้ตัวเองล้มลงไปนอนแผ่หลากลางพื้นได้บ้าง บทความนี้ชวนมาทลายความเชื่อผิดๆ ที่ว่า 'การพักผ่อนคือความขี้เกียจ' และเปลี่ยนให้มันเป็น 'กลยุทธ์การฟื้นฟูระดับลึก' ที่สมองของเราต้องการ ให้คุณได้พักใจอย่างแท้จริง

อ่านต่อ